วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

คิดเลขเร็ว เทคนิคการหารเลข


คิดเลขเร็ว เทคนิคการหารเลข
ทคนิคการหารด้วย 10n 

10n คือ 10 หรือ 100 หรือ 1,000 ... ตัวเลขเหล่านี้ถ้านำไปเป็นตัวหาร จะได้ผลหารเป็นตัวเลขชุดเดียวกับตัวตั้ง แต่ตำแหน่งทศนิยมถูกเลื่อนไปทางซ้าย เท่ากับจำนวนเลข 0 ของตัวหาร เช่น
หารด้วย 10 ตัวหารมีเลข 0 หนึ่งตัว ได้ผลหารเป็นเลขชุดเดียวกับตัวตั้งแต่ตำแหน่งทศนิยมถูกเลื่อนไปทางซ้าย 1 ตำแหน่ง
หารด้วย 100 ตัวหารมีเลข 0 สองตัว ได้ผลหารเป็นเลขชุดเดียวกับตัวตั้งแต่ตำแหน่งทศนิยมถูกเลื่อนไปทางซ้าย 2 ตำแหน่ง
หารด้วย 1,000 ตัวหารมีเลข 0 สามตัว ได้ผลหารเป็นเลขชุดเดียวกับตัวตั้งแต่ตำแหน่งทศนิยมถูกเลื่อนไปทางซ้าย 3 ตำแหน่ง ถ้าจำนวนหลักของตัวตั้งไม่พอให้เติม 0
หารด้วย 10,000 ตัวหารมีเลข 0 สี่ตัว ได้ผลหารเป็นเลขชุดเดียวกับตัวตั้งแต่ตำแหน่งทศนิยมถูกเลื่อนไปทางซ้าย 4 ตำแหน่ง ถ้าจำนวนหลักของตัวตั้งไม่พอให้เติม 0


เนื่องจากการหารด้วยตัวเลขในกลุ่ม 10n นั้นหาผลหารได้ง่าย เราจึงพยายามแปลงตัวหารให้เข้ามาอยู่ในกลุ่ม 10n โดยอาศัยคุณสมบัติที่ว่า เมื่อคูณตัวตั้งและตัวหารด้วยเลขคงที่ตัวเดียวกัน ผลหารจะไม่เปลี่ยนแปลง 

ตัวอย่างที่ 1
ตัวหารเป็น 50 สามารถแปลงให้เป็น 100 โดยคูณด้วย 2 ถ้าคูณ 2 ที่ตัวหาร ต้องคูณ 2 ที่ตัวตั้งด้วยเพื่อให้ผลหารไม่เปลี่ยนแปลง
ตัวหารกลายเป็น 100 ทำให้หาผลหารได้ง่าย
723 x 2 = 1446 เมื่อหารด้วย 100 จะได้ผลหารเป็นเลขชุดนี้ แต่ตำแหน่งทศนิยมถูกเลื่อนไปทางซ้าย 2 ตำแหน่ง


ตัวอย่างที่ 2
ตัวหารคือ 25 สามารถแปลงให้เป็น 100 โดยคูณด้วย 4 ต้องคูณทั้งตัวตั้งและตัวหารเพื่อให้ผลหารไม่เปลี่ยนแปลง
นำ 4 ไปคูณ 312 หาคำตอบได้ง่ายกว่า นำ 25 ไปหาร 312
คำตอบของการหารด้วย 100 คือใส่ทศนิยม 2 ตำแหน่ง


แม้ว่าจะไม่สามารถแปลงตัวหารให้อยู่ในรูป 10n แต่ถ้าสามารถแปลงให้ตัวท้ายเป็น 0 ก็ได้ประโยชน์จากคุณสมบัติของ 10n เพราะถ้าตัวท้ายเป็น 0 แสดงว่ามี 10 เป็นตัวประกอบ
นำ 2 ไปคูณ 15 เพื่อแปลงตัวหารให้ลงท้ายด้วย 0 เนื่องจาก 15 x 2 = 30
เมื่อคูณ 2 ที่ตัวหารแล้ว ต้องคูณ 2 ที่ตัวตั้งด้วยเพื่อให้ผลหารไม่เปลี่ยนแปลง
นำ 30 มาแยกตัวประกอบจะได้ 3 x 10
นำ 10 ไปหาร 696 ได้ 69.6
นำ 3 ไปหาร 69.6 ได้ผลหารคือ 23.2
อ้างอิงhttp://www.mathsmethod.com/speedup-divide-1.php (6/05/2556)

เทคนิคการบวกเลขเร็ว



เทคนิคการบวกเลขเร็ว


เด็กนักเรียนเริ่มรู้จักตัวอักษร ก, ข, ... พร้อมกับตัวเลข 1, 2, 3 ... และเรียนรู้วิธีสะกดคำ พร้อมกับการนับเลขซึ่งเป็นพื้นฐานของการคำนวณ ถ้าเด็กสามารถบวกเลข 1 หลักได้ ก็สามารถหาผลบวกของเลขกี่หลักก็ได้ เพราะการบวกเลขหลายหลักใช้วิธีคำนวณทีละหลักแล้วทดไปหลักถัดไป การบวกเลขง่ายกว่าการอ่านหนังสือเพราะตัวเลขมีเพียง 10 ตัว (0-9) นำมาจับคู่บวกกันได้ 10 x 10 = 100 คู่ (เลข 1 หลัก) แต่ตัวอักษร สระ และวรรณยุกต์มีถึง 44 ตัว นำมาผสมเป็นคำศัพท์ต่าง ๆ ได้มากกว่า 100 คำ

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ มีนักเรียนจำนวนมากสามารถอ่านหนังสือได้โดยไม่ต้องสะกด แต่ไม่สามารถหาผลบวกได้โดยไม่ต้องนับ การอ่านหนังสือโดยไม่ต้องสะกดเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถ้านักเรียนยังคงต้อง สะกดทุกคำในการอ่าน จะไม่สามารถอ่านตำราเป็นเล่มได้รู้เรื่อง เพราะเสียสมาธิไปกับการสะกด แทนที่จะใช้สมาธิไปกับเนื้อหาที่อ่าน ทักษะการคำนวณก็เช่นกัน หาก นักเรียนต้องใช้สมาธิไปกับการนับเลขเพื่อหาผลลัพธ์จะทำให้เหลือสมาธิสำหรับแก้ปัญหาอื่นน้อยลง

คำถามที่น่าสนใจคือ ทำไมนักเรียนสามารถอ่านหนังสือโดยไม่ต้องสะกดได้ แต่ไม่สามารถบวกเลขโดยไม่ต้องนับ ? ทั้งที่ตัวเลขมีเพียง 10 ตัว (0-9) แต่ตัวอักษร สระ และ วรรณยุต์ไทยมีถึง 44 ตัว ผลลัพธ์น่าจะกลับกัน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปลูกฝังความคิดว่าคณิตศาสตร์เป็นเรื่องของความเข้าใจ ขอให้เข้าใจก็พอ ไม่ต้องจำ นักเรียนส่วนใหญ่จึงหยุดพัฒนาทักษะด้านคำนวณ เพราะเมื่อนับแล้วได้คำตอบ ก็แสดงว่าเข้าใจแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีทักษะมากไปกว่านี้ นอกจากนี้การใช้เครื่องคิดเลขจนเคยชิน มีส่วนทำให้ทักษะในการคำนวณหดหายไป แต่ในการสอบแข่งขันมักไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลข 

เนื้อหาส่วนนี้เป็นการนำเสนอวิธีพัฒนาความเร็วในการบวก ลบ คูณ และหารเลข ซึ่งเป็นทักษะการคำนวณที่จำเป็นอย่างมากในการทำข้อสอบ เนื่องจากทุกสนามสอบมีการจำกัดเวลา นักเรียนต้องคำนวณให้ได้คำตอบที่ถูกต้องก่อนหมดเวลา ดังนั้นผู้ที่สามารถคิดเลขได้เร็วกว่าย่อมได้เปรียบ 


วิธีสอนบวกเลขในชั้นอนุบาล เริ่มจากการนับ การบวกคือนับเพิ่ม เช่น วิธีหาคำตอบของ 5 + 3 คือนับต่อจาก 5 ไปอีก 3 นักเรียนหาผลบวกโดยนับ 6, 7, 8 ดังนั้นคำตอบของ 5 + 3 คือ 8 การหาผลบวกโดยการนับเป็นการสอนให้เข้าใจความหมายของการบวกเลข หากต้องการพัฒนาทักษะการบวกให้ได้คำตอบอย่างรวดเร็วจำเป็นต้องนำเทคนิคอื่นมาใช้แทนวิธีนี้ ถ้าไม่ใช้วิธีนับแล้วจะหาคำตอบได้อย่างไร ? ขอให้นึกถึงการพัฒนาทักษะการอ่านหนังสือของเรา เมื่อเริ่มเรียนหนังสือ เราถูกสอนให้สะกดเสียงตามตัวอักษร แล้วนำเสียงที่สะกดมารวมเป็นเสียงของคำ เมื่อเราเข้าใจวิธีสะกด และสะกดซ้ำ ๆ จนชำนาญ จากนั้นจะเกิดการพัฒนาอีกระดับหนึ่งที่สำคัญมากคือสามารถอ่านเสียงของคำนั้นได้ทันทีที่เห็นโดยไม่ต้องสะกด 


เช่น เมื่อเห็นคำว่า "กัด" เราอ่านออกเสียงได้ทันทีว่า กัด ถ้าสลับระหว่างตัว "ก" และ "ด" จะได้คำว่า "ดัก" ซื่งอ่านออกเสียงว่า ดัก เราสามารถอ่านออกเสียงได้ทันทีที่เห็นโดยไม่ต้องสะกด เพราะเราจำคำศัพท์นั้นทั้งคำ ไม่ใช่จำแค่ตัวอักษร แต่เราจำตำแหน่งการวางตัวอักษรด้วย นั่นคือเราจำคำศัพท์เหมือนเป็นสัญญลักษณ์ของเสียง ถ้าเราประยุกต์หลักการนี้กับการบวกเลข เมื่อเห็น 5 + 3 เราจะบอกคำตอบได้ทันทีว่า 8 เราจำ 5 + 3 เป็นสัญญลักษณ์แทนเลข 8 ซึ่งเป็นคำตอบของผลบวก เช่นเดียวกับที่เราจำศัพท์เป็นสัญญลักษณ์แทนเสียงของคำ เทคนิคนี้ทำให้เราหาผลบวกได้เร็วพอ ๆ กับการอ่านหนังสือโดยไม่ต้องสะกด 


การอ่านหนังสือโดยไม่ต้องสะกดเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนทำได้ ขอให้นึกย้อนกลับไปในอดีตว่าเราทำอย่างไรจึงสามารถพัฒนาความสามารถขึ้นมาได้ถึงระดับนี้ ตอนนี้เราจะย้อนกลับไปทำอย่างนั้นอีกครั้งแต่ไม่ใช่กับตัวหนังสือ แต่เป็นตัวเลข 


ถ้านำเลข 10 ตัว คือ 0-9 มาจับคู่บวกกัน 1 หลักจะได้คู่บวกทั้งหมด 10 X 10 = 100 คู่ ซึ่งใช้เป็นพื้นฐานของการบวกเลข ไม่ว่าจะบวกเลขกี่หลัก ก็คำนวณจากคู่บวกพื้นฐานนี้ เพราะการบวกเลขหลายหลัก ทำโดย บวกทีละหลัก เริ่มจากหลักขวาสุด (หลักหน่วย) ถ้าผลบวกเกิน 10 จะทดไปหลักถัดไป ทำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จนครบทุกหลัก 


ในทางปฏิบัติไม่จำเป็นต้องจำถึง 100 คู่ เพราะเลข 0 ไม่มีความหมายในการบวกเลข 0 บวกกับเลขใดก็ได้คำตอบเท่ากับเลขตัวนั้น ดังนั้นตัดเลข 0 ทิ้ง ในทำนองเดียวกันสามารถตัดเลข 1 ทิ้ง เพราะการบวกด้วย 1 ทุกคนหาคำตอบได้ทันทีโดยไม่ยุ่งยาก เหลือตัวเลขเพียง 8 ตัวคือ 2 - 9 ถ้านำมาจับคู่บวกจะได้ 8 x 8 = 64 คู่ ดังนี้ 



ไม่ต้องจำคู่บวกถึง 64 คู่ เพราะสามารถใช้เทคนิคบางอย่างช่วยดังนี้
1.การบวกมีคุณสมบัติการสลับที่ หมายถึงเมื่อสลับที่ระหว่างตัวตั้งและตัวบวกจะได้คำตอบเท่ากัน เช่น 2+3 = 3+2 คู่บวกที่อยู่ทางซ้ายของเส้นทะแยงมุมสีฟ้าให้ผลบวกเท่ากับคู่บวกที่อยู่ทางขวาของเสื้นทแยงมุม นั่นคือตัวเลขที่ระบายสีเขียวนี้ไม่ต้องจำ
2.การบวกตัวเลขที่เท่ากัน ใช้วิธีคูณด้วย 2 เช่น 6+6 = 6x2 = 12 ดังนั้นชุดตัวเลขที่อยู่ในแนวสีฟ้าไม่ต้องจำ
3.การบวกตัวเลขที่ต่างกันอยู่ 1 สามารถปรับให้เลขเท่ากันโดย +1 หรือ -1 แล้วคูณด้วย 2 จากนั้นชดเชยผลคูณด้วย - 1 หรือ +1 อีกครั้ง
ตัวอย่าง6+7 = 6+6+1 = (6x2)+1 = 13 หรือ
6+7 = 7+7-1 = (7x2)-1 = 13
ดังนั้นไม่ต้องจำคู่บวกในตารางที่เป็นสีชมพู
4.การนำเลข 9 ไปบวกกับตัวเลขอื่น ใช้เทคนิคทำให้เลข 9 เป็นเลข 10 ซึ่งช่วยให้การบวกเลขง่ายขึ้น 6+9 = (5+1)+9 = 5+(1+9) = 5+10 =15
ดังนั้นจึงไม่ต้องจำคู่บวกของ 9 เพราะหาคำตอบได้เร็วโดย - 1 ออกจากตัวที่นำมาบวกกับ 9


เหลือคู่บวกที่อยู่ในช่องสีขาวคือคู่บวกที่ต้องจำ ซึ่งมีเพียง 15 คู่ ในบรรดาคู่บวกเหล่านี้ขอเน้นคู่ที่ให้ผลบวกเป็น10 เพราะช่วยให้การบวกเลขง่ายขึ้น และช่วยให้การลบเลขเร็วขึ้นด้วย (ดูเทคนิคการลบเลขเร็วโดยใช้คู่บวกที่ให้ผลบวกเป็น 10 ) การจำคู่บวกเพียง 15 คู่เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับการจำคำศัพท์ในพจนานุกรมที่เราสามารถอ่านออกเสียงได้เกือนทุกคำโดยไม่ต้องสะกด เราสามารถจำคำศัพท์ได้มากมายเพราะเราใช้คำเหล่านั้นในชีวิตประจำวัน ทั้งพูด อ่าน เขียน ดังนั้นวิธีการที่ทำให้เราจำคู่บวกได้แม่นยำคือต้องเห็นคู่บวกเหล่านี้ทุกวัน และนำมาใช้บ่อย ๆ เหมือนการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน
อ้างอิง http://www.mathsmethod.com/speedup-add.php (5/9/2556)

ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย

ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย
                       เพื่อนๆ teen.mthai เชื่อเรื่องของ ตัวเลข กันบ้างรึเปล่าคะ? ไม่ว่าจะเป็นเลขวันเกิด ทะเบียนรถ เลขที่บ้าน ต่างก็ต้องมี ตัวเลข เข้ามาประกอบด้วยทั้งนั้น และคนทั่วโลกแทบทุกชาตินั้นต่างก็ยอมรับว่า ตัวเลข เป็นเครื่องหมายที่อิทธิพลแฝงอยู่ ทำให้คิดกันไปว่า ตัวเลขนั้นสำคัญต่อชีวิตของแต่ละคน งั้น teen.mthai จะพาไปดูกันว่า ตัวเลขไหนมีความหมาย ความสำคัญ ต่อชาวชนชาติใดกันบ้าง?

ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย

ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 4-9-13
  • อิทธิพลของตัวเลขร้ายๆ สามตัวนี้ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ส่งผลให้สายการบิน Air Nippon Airways ไม่มีที่นั่งหมายเลข 4, 9 และ 13
ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 7
  • เลข 7 ถือเป็นเลขนำโชคตามความเชื่อของนักการพนันทั่วโลก ด้วยเหตุนี้เครื่องโยกสล็อตแมชีนจึงนำตัวเลข 777 มาเป็นเครื่องหมายแจ๊คพ็อตที่ให้รางวัลสูงที่สุด มีโอกาสเกิดตรงกันยากที่สุด ฉะนั้นจึงเหมาะกับคนที่โชคดีมากที่สุดเช่นกัน
  • แม้แต่เหล่าคนดังก็มักจะใช้เลข 7 เป็นตัวเลขนำโชค เช่น เจ เค โรว์ลิ่ง ผู้เขียน แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่วางแผนมาตั้งแต่ต้นว่าจะจบบทนิยายขายดีของเธอไว้แค่เล่มที่ 7
  • ขณะที่กุญแจความเชื่อเรื่องเลข 7 ยังซุกซ่อนอยู่ในนิยายดีเล่มนี้มากมาย เช่น ชั้นเรียนเวทมนตร์ของฮอกวอตส์ต้องเรียนทั้งหมด 7 ปี, ลอร์ดโวลเดอมอร์แยกวิญญาณออกเป็น 7 ดวงเพื่อความเป็นอมตะ, แฮร์รี่เกิดในกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ 7 ของปี ฯลฯ


ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 8
  • ชาวตะวันตกเชื่อว่าเลข 8 มีรูปลักษณ์เหมือนกันกับสัญลักษณ์แห่งความเป็นนิรันดร์หรืออนันต์ในเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ที่หมายถึงความไม่มีที่สิ้นสุด (infinity) จึงถือเป็นเลขโชคลางที่ใช้สื่อความหมายถึงความเป็นอมตะ ไม่มีที่สิ้นสุด
  • ในขณะที่ ชาวจีนโดยเฉพาะผู้ที่ทำอาชีพค้าขายยกให้เลข 8 เป็นเลขแห่งมงคล เพราะในภาษากวางตุ้งมีความหมายว่า ร่ำรวย หรือ มั่งมี อีกทั้งยังหมายความได้ถึงตำนานแปดเซียนหรือโป๊ยเซียน ที่คอยดูแล ปกป้องรักษาลูกหลาน
  • แต่ 88 ถือว่าเป็นตัวเลขนาซี และแม้เลข 8 จะมีรูปทรงสมมาตรสวยงามและเป็นเลขนำโชคของคนจีน แต่อย่านำเลข 8 สองตัวมาใช้ในยุโรปเด็ดขาด ถ้าไม่อยากโดนเข้าใจผิดว่าคุณเป็นพวกนิยมนาซี เพราะในยุคฮิตเลอร์เรืองอำนาจ ชาวเยอรมันจะตะโกนว่า Heil Hitler เมื่อย่อเป็นภาษาเขียนก็จะกลายเป็น HH ซึ่งมีรูปร่างคล้ายหมายเลข 88 และตัว H ยังเป็นตัวอักษรตัวที่ 8 ของภาษาอังกฤษอีกด้วย เลข 88 จึงมีการนำมาใช้เพื่อประกาศว่า ข้าเป็นนาซี ซึ่งพบเห็นได้บ่อยๆ ใน email address หรือชื่อ websiteของกลุ่มนีโอนาซีที่มักลงท้ายด้วยเลข 88

ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 9
  • เลข 9 กับคนไทยนั้น ถือเป็นมงคลที่อยู่คู่กันมาช้านาน โดยเชื่อว่าเลข 9 ออกเสียงที่ไปพ้องกับคำว่า ก้าว หมายถึง ก้าวไปข้างหน้า ส่งผลให้ตัวเลข 9 กลายเป็นเลขมงคลที่คนไทยนิยมมากทุกยุคทุกสมัย ทำให้ล่าสุดจากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบกรายงานว่า การประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ในปี 2549 ในหมวดตัวอักษร ส ร ป้ายทะเบียนรถที่มีมูลค่าสูงที่สุดคือ 9999 ราคาอยู่ที่ 660,000 รองลงมาคือ 8888 และ 7777 ราคาอยู่ที่ 470,000 และ 320,000 ตามลำดับ
  • ทว่าแต่อย่าได้นำเลขนี้ไปใช้กับหนุ่มสาวแดนปลาดิบเชียว เพราะตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั้น เลข 9 ในภาษาญี่ปุ่นจะอ่านออกเสียงว่า คุ ซึ่งไปพ้องเสียงกับคำที่หมายถึง ความยากลำบาก จึงถือว่าไม่ดีและไม่งาม โดยเฉพาะบรรดานักเรียน ม.ปลาย ที่กำลังเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยถือว่าสำคัญต่ออนาคตของหนุ่มสาวญี่ปุ่นมาก ถ้าใครได้ทะเบียนสอบหมายเลข 9 ถือว่าซวยสุดๆ เห็นทีคงต้องสะเดาะเคราะห์กันขนานใหญ่
ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 11
  • นับตั้งแต่พ.ศ. 2544 เลขนี้ก็กลายเป็นเลขอัปมงคลโดยพลัน! เพราะ วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ถือได้ว่าเป็นฝันร้ายของอเมริกันชน เมื่อประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจและการทหารถูกลอบโจมตีโดยกลุ่มผู้ก่อการร้าย ด้วยการทำลายสัญลักษณ์สำคัญแห่งทุนนิยมของประเทศอย่างตึดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และหลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็มีผู้ที่คิดถอดรหัสความหมายของเลข 11 ที่ซุกซ่อนอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของอเมริกามากมายจนชวนให้ขบคิดว่า หมายเลข 11 ต้องการจะบอกอะไรกับอนาคตอเมริกันชนกันแน่ เริ่มจาก
  • วันที่ 11 เดือนกันยายน = วันที่ 254 (ของปีที่เกิดเหตุการณ์) = 2+5+4 = 11 และหลังจากวันที่ 11 กันยายน (ของปีที่เกิดเหตุการณ์) จะมีวันเหลือในปฏิทินอีก 111 วัน ถึงจะครบสิ้นปี
  • รหัส 119 คือ รหัสของประเทศอิรัก / อิหร่าน = 1+1+9 = 11
  • ตึกแฝด เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ยืนตระหงานอยู่คู่กันด้วยลักษณะที่ดูคล้ายหมายเลข 11
  • เครื่องบินลำแรกที่พุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเป็นเที่ยวบินที่ 11
  • เครื่องบินลำที่สองที่พุ่งชนเป็นเที่ยวบินที่ 77 ซึ่ง 77 ก็คล้าย 11 เสียเหลือเกิน
  • รัฐนิวยอกร์กเป็นรัฐลำดับที่ 11 ของสหรัฐอมเริกา
  • เที่ยวบินที่ 11 มีผู้โดยสาร 92 คน = 9+2 = 11
  • เที่ยวบินที่ 77 มีผู้โดยสาร 65 คน = 6+5 = 11
  • เมือง New York City มีตัวอักษรทั้งหมด 11 ตัว
  • ประเทศ Afghanistan (ซึ่งเชื่อว่าให้การสนับสนุนขบวนการอัล-เคดา ของโอซามา บิน ลาดิน) ก็มีตัวอักษรทั้งหมด 11 ตัว
  • กระทรวงกลาโหม หรือ The Pentagon (หนึ่งในเป้าหมายสำคัญในเหตุการณ์คราวนั้น) ก็มีตัวอักษรทั้งหมด 11 ตัว


  • ถือเป็นเลขแห่งความโชคร้ายและอัปมงคลตามความเชื่อของชาวตะวันตก โดยมีที่มาจากหลายๆ ตำนานในศาสนาคริสต์
  • เช่น ตำนานอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์ที่ชื่อว่า เดอะลาสต์ซัปเปอร์ The Last Supper มีผู้ร่วมโต๊ะพร้อมหน้ากับพระองค์รวม 13 คนและจูดาร์ซึ่งเป็นศิษย์ทรยศก็นั่งในตำแหน่งที่ 13 ทำให้หมายเลขนี้กลายเป็นอาถรรพณ์ที่ชาวตะวันตกเกลียดกลัว
ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 17
  • ชาวอิตาลีเชื่อว่าเลข 17 มีระดับความน่ากลัวพอๆ กับเลข 13 สาเหตุเพราะเมื่อเขียนเลข 17 เป็นเลขโรมันจะอยู่ในรูปของ XVII ซึ่งเมื่อสลับตัวอักษรเป็น VIXI จะมีความหมายว่า ฉันเคยมีชีวิตอยู่ ซึ่งแปลว่าตายแล้ว
  • จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นอาคารในอิตาลีมักไม่มีชั้น 17 สายการบินหลายสายไม่มีที่นั่งหมายเลข 17 แม้แต่รถสัญชาติฝรั่งเศสอย่างเรโนลต์ รุ่น R17 เมื่อเข้าไปจำหน่ายในอิตาลีก็ยังต้องเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น R177

ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 25
  • ว่ากันว่าเมื่อหนุ่มหน้าใสถึงวัย 25 ตามคติพราหมณ์คัมภีร์พฤติกรรมศาสตร์เขาว่า ต้องเบญจเพส หมายถึง การเข้าสู่โชคและเคราะห์ที่รุนแรงไม่ทางบวกก็เป็นลบต่อชีวิต แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ถือเป็นจังหวะชีวิตที่ต้องระมัดระวังตัวในการเกิดอุบัติเหตุหรือเคราะห์ร้ายให้ดี (ฉะนั้นสาวๆ ที่เคยเข้าใจผิดคิดว่าเหมารวมเพศหญิงเข้าไปด้วย ก็เตรียมชนแก้วฉลองกันได้)
ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 26
  • ปัจจุบันวันที่ 26 กลายเป็นวันแห่งแผ่นดินไหวตามความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งที่อ้างพบสถิติที่ว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมาแผ่นดินไหวทั่วโลกมักจะเกิดขึ้นในวันที่ 26 ยกตัวอย่างเช่น การเกิดแผ่นดินไหวระดับ 9.0 ริกเตอร์ บริเวณตะวันตกของเกาะสุมาตราเหนือ ที่ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ บริเวณเกาะพีพี เกาะภูเก็ต กระบี่ พังงา ฯลฯ มีรายงานผู้เสียชีวิตมากที่ศรีลังกา อินเดีย ก็เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เวลาประมาณ 8.00 น.

ตัวเลขกับความเชื่อ คำทำนาย : 666
  • ถ้านำชื่อของจอมเผด็จการ ฮิตเลอร์มาถอดเป็นตัวเลขโดยตั้งค่าให้ A=100, B=101, C=102, D=103, E=101 (ไล่ตามลำดับไปเรื่อยๆ) คำว่า HITLER จะมีค่าเท่ากับ H+I+T+L+E+R = 107+108 +119+111+104+117 = 666
  • ชื่อเต็มของอดีตประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน แต่ละวรรค 6 ตัวพอดี คือ Ronald-Wilson-Reagan ทำให้เขามีชื่อเล่นในหมู่คนสนิทว่า 666 นอกจากนั้นบ้านที่แคลิฟอร์เนียของเขาในช่วงที่พ้นจากตำแหน่งคือ บ้านเลขที่ 666 ซึ่งต่อมาถูกขอให้เปลี่ยนเป็น 668
  • นอกจากนี้ 666 ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์และในพระคริสตธรรมคัมภีร์มาแต่โบราณ เลข 6 ถือเป็นสัญลักษณ์ของซาตาน
  • ทั้งเวลาออกเสียงภาษาอังกฤษเลข 6 (six) ยังไปพ้องกับคำว่าเจ็บป่วย (sick) ในภาษาอังกฤษ ทำให้มีผลของความเชื่อด้านความเลวร้ายของ 666 ตามมามากมาย
  • ในขณะที่ที่สหรัฐอเมริกามีทางหลวงหมายเลข 666 ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น The Highway of the Beast (เส้นทางของปีศาจ) ต่อมาถูกเปลี่ยนหมายเลขเป็น 491 ในปี 2003
อ้างอิงhttp://teen.mthai.com/variety/53725.html (5/9/2556)


คณิตศาสตร์กับการพัฒนาประเทศ

ปัจจุบันประเทศไทยมีนโยบายที่จะพัฒนาชาติด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำความรู้วิทยาศาสตร์ทางด้านเทคโนโลยีชีวิภาพ เทคโนโลยีวัสดุศาสตร์และเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ไปใช้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้รัฐบาลยังมองเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาในภาคธุรกิจ การเงินการธนาคารควบคู่กันไปด้วยจากเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มสำคัญของการอภิปราย ซึ่งสถาบันฯ ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านคอมพิวเตอร์สถิติและการเงินธนาคาร เพื่อให้ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์เห็นถึงความสำคัญของวิชานี้ต่อการพัฒนาประเทศ และได้รับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์
รศ.ยืน ภู่วรวรรณ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตำคณิตศาสตร์ไปใช้ทางด้านคอมพิวเตอร์และมีผลต่อการพัฒนาประเทศดังนี้
คณิตศาสตร์เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ การแก้ปัญหา (Problem Solving) ทั้งในด้านชีวิตประจำวันและด้านอื่นๆ การใช้เหตุผลซึ่งต้องอาศัยคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานทั้งสิ้น
คณิตศาสตร์มาจาคำว่า Mathematics ในภาษากรีก Math หมายถึงการเรียนรู้ (learning) ดังนั้น ทำอย่างจึงจะทำให้คนอยากเรียนรู้ แซมมัว พาเพ่ นักจิตวิทยาคนหนึ่งพยายามสร้างแนวความคิดนี้ และบอกว่าคณิตศาสตร์เป็นกลไกหนึ่งที่ทำให้เกิดความอยากเรียนรู้ จึงทำให้เขาคิดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขึ้นมาชนิดหนึ่ง ซึ่งก็คือ Logo นั่นเอง
ในสมัยโบราณชาวกรีก ชาวอียิปต์ สามารถประดิษฐ์ปฏิทินทางสุริยคติได้ สามารถบอกได้ว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกใช้เวลาเท่าไร จะเห็นว่าอารยะธรรมสิ่งประดิษฐ์และการแก้ปัญหาต่างๆ ในอดีตล้วนแต่อาศัยพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น
ในปัจจุบันปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมีวิธีการแก้ปัญหาโดยอาศัยหลักของเหตุและผล อาศัยรูปแบบ(model) ความคิดทางคณินศาสตร์มาประยุกต์ใช้ ซึ่งจำเป็นต้องมีข้อมูลในระดับหนึ่งมาช่วยในการตัดสินใจ หลักการของการแก้ปัญหาใดก็ตามก็คือ นำกฏเกณฑ์ต่าง ๆที่เป็น Fact เป็นความรู้ เป็นทฤษฏีต่าง ๆ ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์นั่งเองมาใช้ประกอบกับข้อมูลที่มีอยู่ในระดับหนึ่ง infer ตำตอบของปัญหาที่ต้องการอย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหานี้เป็นกลไกที่เกิดขึ้นในสมองของแต่ละคน แม้ว่าคำตอบที่ได้จะเหมือนกัน แต่ในด้านของวิธีการคิดของแต่และบุคคลซึ่งอาศัยพื้นฐานความคิดทางคณิตศาสตร์ความีเหตุผลอาจจะมีแตกต่างกันไปก็ได้
กลไกที่ใช้เป็นเครื่องมือช่วนในการแก้ปัญหาเพื่อให้บรรลุถึงการพัฒนาต่าง ๆ ก็คือ คอมพิวเตอร์ ซึ่งการที่จะเป็นนักคอมพิวเตอร์หรือการนำคอมพิวเตอร์ไปประยุกต์ใช้กับงานต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร โทรคมนาคม สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆเช่น หุ่นยนต์ ก็ตาม ต้องอาศัยความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ทั้งสิ้น
การพัฒนาบุคคลในประเทศให้เป็นผู้ชำนาญเฉพาะด้านไม่ว่าด้านใดก็ตาม ผู้ที่มีความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์จะเป็นผู้ที่ได้เปรียบเพราะจะสามารถ infer ความรอบรู้ ความสัมพันธ์ (relation) ของสิ่งต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบ (model) ทางคณิตศาสตร์ และนำรูปแบบนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาต่อไป
กลไลทางคณิตศาสตร์ชนิดหนึ่งเรียกว่า Zerogism ซึ่งปรากฎว่าในสมองของคน มีกลไกลักษณะเช่นนี้อยู่ กล่าวคือเป็นกลไลของการ Infer ความรอบรู้ต่าง ๆให้เป็นรูปแบบทางคณิตศาสตร์ และส่วนนี้เองที่ใช้รากฐานทำให้คนมีความคิดในการแก้ปัญหา การประยุกต์ใช้ของ Zerogism ก็คือกฎเกณฑ์ที่เป็นกระบวนการถ่ายทอดความรู้ซึ่งเป็นหลักการทางคณิตศาสตร์นั่นเอง
โดยสรุปแล้ว การที่จะสร้างและพัฒนาคนให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติไม่ว่าในด้านใดก็ตามคณิตศาสตร์เป็นพื้นฐานที่สำคัญ
ดร.นิยม ปุราคำ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำคณิตศาสตร์ไปใช้ทางด้านสถิติและมีผลต่อการพัฒนาประเทศดังนี้
เหตุผลของการจัดให้มีการสอนวิชาคณิตศาสตร์มี 4 ประการ คือ
  1. Mathemties as a mean of communicatin quantitative idca หมายถึง เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจถึงความหมายแะการสื่อความหมายในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับจำนวนและตัวเลข
     
  2. Mathematics as a training for discipline of thought and for logical reasoning หมายถึง เพื่อให้ผู้เรียนมีหลักการในการคิดและการหาเหตุผลโดยมีหลักตรรกวิทยา
     
  3. เพื่อเป็นพื้นฐานของวิชาวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐศาสตร์และวิชาอื่นๆ ที่ใช้หลักวิชาคณิตศาสตร์
     
  4. เพื่อให้เกิดความคิดริเริ่มในการพัฒนาความรู้และเทคนิคใหม่ ๆ ในทางคณิตศาสตร์ ซึ่งอาจจะนำไปใช้ในการวิเคราะห์วิจัย งานคำนวณ งานคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
     
ปัจจุบันคณิตศาสตร์เข้าไปมีบทบาทต่อวงการต่าง ๆ ในด้านเศรษฐกิจ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวมข้อมูลและการหาข้อสรุปหาข้อมูลจำเป็นต้องอาศัยหลักวิชาทางสถิติไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยทั่วไปจุดประสงค์ของการบริหารประเทศนั้นก็เพื่อเพิ่มผลผลิตของประเทศ เพิ่มโอกาสในการทำงานให้กับคนในแระเทศ รักษาเสถียรภาพของราคาสินต้าและบริการ เพื่อให้มีการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม จะเห็นว่าในการบริหารประเทศนั้นจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลต่าง ๆมากมาย เพื่อใช้ในการตัดสินใจและวางแผนให้บรรลุถึงจุดประสงค์ ดังนั้นในปัจจุบันจึงเป็นหน้าที่สำคัญของนักวิชาการทางสถิติที่จะต้องประมวลข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์ตีความเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้อง ซึ่งผู้ที่จะรับผิดชอบในการพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในวิชาสถิติและคณิตศาสตร์เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคณิตศาสตร์จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการวิเคราะห์และตีความมายของข้อมูล แต่การพิจารณาตัวเลข ค่าที่คำนวณได้หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รับมาก็ต้องทำอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นแล้วอาจทำให้เกิดการตีความหมายที่ผิดก็ได้ เช่น การประเมินรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยในแต่ละปี ในพันปี เป็นต้น ซึ่งตัวเลขหรือข้อมูลที่ได้มานี้ จะต้องนำมาตีความหมายอย่างรอบคอบ ความหมายที่แท้จริงคืออะไร ดังนั้น จึงต้องระลึกอยู่เสมอว่า สถิติเป็นวิชาหนึ่งซึ่งไม่ใช่คณิตศาสตร์ แต่ใช้หลักทางคณิตศาสตร์
โดยสรุปแล้ว การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารเพื่อนำไปใช้วางแผนและตัดสินใจในการบริหาร ควรจะมีการประสานงานกันของฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยมีทั้งวิชาการทางด้านข้อมูลสถิติ คอมพิวเตอร์ นักบริหาร นักจัดการและผู้ชำนาญเฉพาะด้านนั้น ๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ใช้หลักวิชาการหลาย ๆ สาขาช่วยในการวิเคราะห์ตัดสินใจหรือที่เรียกว่าสหวิทยาการ
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการนำคณิตศาสตร์ไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศดังนี้
บทบาทของคณิตศาสตร์มี 2 ด้าน
  • ด้านแรก คือ คณิตศาสตร์มีบทบาทในฐานะทีเป็นบทบาทพื้นฐาน กล่าวคือ ทำให้ ทำให้คนทีมีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ สามารถเรียนรู้เรื่องรายต่าง ๆ ได้กว้างและลึกซึ้ง คณิตศาสตร์เป็นความรู้ที่สนับสนุนความนึกคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ นั้นคือเชื่อในเหตุผลของธรรมชาติผลต้องเกิดจากเหตุ
     
  • ด้านที่สอง คือ ด้านที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งในแง่การเรียนรู้และการนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งได้แก่ สถิติ operation reserch บัญชี การวิจัยตลาดวิศวกรรมและอุตสาหกรรม
บทบาทคณิตศาสตร์ต่อวิชาสถิตินั้น แม้ว่าทั้งสองวิชาจะมีความแตกต่างกันอยู่ แต่แนวความคิดพื้นฐานเกือบจะเหมื่อนกัน สถิติและคณิตศาสตร์สามารถนำไปใช้ในการอธิบายเรื่องเศรษฐกิจวิเคราะห์ เช่นต้นทุนการผลิตสินค้าขึ้นอยู่ปริมาณสินค้าที่ผลิต ราคาวัตถุดิบ อัตราการผลิตมีการเปลี่ยนแปลงกี่เปอร์เซ็นต์ โดยจะพยายามจำลองเหตุการณ์เหล่านี้เป็นสมการทางสถิติและคณิตศาสตร์ ซึ่งสถิติลักษณะนี้เรียกว่า Descriptive Statistics ในกรณีที่ต้องการศึกษาทดสอบว่า ตัวอย่างที่ได้มาถูกต้องสอดคล้องกับความเชื่อ หรือสมมติฐานที่ตั้งขึ้นหรือไม่ หรือการครวจสอบคุณภาพสินค้า (QC) ก็จะใช้สถิติและคณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์ ซึ่งเราเรียกว่า Presceriptive Statistics
ในด้าร Operation Research เป็นเรื่องยองการพยามยามจำลองปัญหาทางเศรษฐกิจ ปัญหาทางการบริการ ปัญหาทางธุรกิจให้เป็นรูปแบบคณิตศาสตร์และศึกษาหารูปแบบคณิตศาสตร์นั้น Operation Research มีประโยชน์ต่อหลาย ๆ วงการ ไม่ว่าจะเป็นผลิตสินต้า การขนส่งแล้วผู้บริหารจะวางแผนอย่างไรเพื่อให้ประหยัดต้นทุนให้มากที่สุด การที่บริษัทผลิตสารเคมีหลายชนิด จะโฆษณาสารเคมีแต่ละชนิดอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุดการบริหารท่าเรือมีเรื่อเข้ามาจอดกี่ลำ ควรใช้เวลาเท่าไรในการขนถ่ายสินค้า การผลิตอาหารสัตว์ใช้ปลาแทนการถั่วเหลืองถ้ากากถั่วเหลืองราคาตกเราจะใช้กากถั่วเหลืองราคาตกเราจะใช้กากถั่วเหลืองมากว่าปลากี่เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น
ในด้านของบัญชีกับระบบการควบคุมเป็นอีกแขนงหนึ่งซึ่งมีประโยชน์มาก ทั้งในแง่เศรษฐกิจของประเทศหรือในแง่ของธุรกิจเอกชน วิธีการทางบัญชีก็คือการพยายามประมวลข้อสนเทศและแปลข้อสนเทศที่ได้รวบรวมมา โดยอาศัยเลขคณิตและเหตุผลเช่น การดูงบการเงินของบริษัท บริษัทบางแห่งอาจจะซ่อนความเสียหายไ ว้ แต่ถ้าสามารถใช้หลักเหตุผลและคณิตศาสตร์เราก็พอจะทำความเข้าใจได้ว่า เขาแปลงสินทรัพย์ประเภทหนึ่งให้เป็นสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง เป็นต้น
ในด้านของการวิจัยตลาดซึ่งอาศัยความรู้ทางสถิติ การสำรวจ (survery ) และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้การลงทุนในโครงการต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ในด้านของวิศวกรรมและอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนควบคุมระหว่างเครื่องจักร คน เวลา ฯลฯ จำเป็นต้องอาศัยพื้นฐานความรู้ซึ่งเกี่ยวกับเลขคณิต พืชคณิตแคลคูลัส สถิติ ที่มีการเรียนการสอนกันในระดับประถมศึกษามัธยมศีกษา ต่อเนื่องขึ้นมาตามลำดับ
สำหรับการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ รศ. ยืน ภู่วรวรรณ ได้ให้ข้อคิดเห็นดังนี้
  1. การปลูกฝังในเรื่องของความคิดเริ่มสร้างสรรค์ และจินตนาการที่เป็นเหตุเป็นผล โดยการฝึกนักเรียนให้เป็นคนช่างสังเกต และนำเอาหลัการทางคณิตศาสตร์มาอธิบายการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่าง ๆ
     
  2. ในด้านของการแก้ปัญหา ควรฝึกให้นักเรียนรู้จักการแก้ปัญหาง่าย ๆ ตรงไปตรงมา และค่อย ๆ ซับซ้อนขึ้นตามลำดับ โดยการแก้ปัญหานั้นไม่จำเป็นต้องเน้นเฉพราะปัญหาทางคณติศาสตร์อย่างเดียว อาจเป็นปัญหาทั่ว ไป หรือปัญหาในการให้เหตุผล ปัญหาทางด้านตรรกศาสตร์ เหตุผลในการแก้ปัญหาของนักเรียนแต่ละคนอาจจะตัดสินใจไม่ได้ว่าใตรถูกหรือผิด แต่ควรจะพิจารณาถึงเหตุผลที่ใช้ในการสนับสนุน นอกจากนี้แล้วควรฝึกให้นักเรียนมองปัญหาในเชิงที่เป็นระบบมากขึ้น รู้ว่าเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นแล้วควรจะดำเนินการอย่างไร
     
  3. ควรปลูกฝังให้นักเรียนมีความคิดในเชิงตรรกศาสตร์เพื่อให้นักเรียนมีเหตุผลในเชิงของการแก้ปัญหา
     
  4. ทางด้านการเรียนรู้ คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับนามธรรมค่านข้างมาก ผู้สอนควรหารูปแบบ (Modcl) ที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขื้น
     
โดยสรุปแล้วผู้สอนควรจะเปลี่ยนบรรยากาศของการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ให้เป็นบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสสนุกกับการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ
ดร.นิยม ปุราคำ ได้ให้ข้อติดเห็นเกียวกับการการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ดังนี้
  1. อาจารย์ผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ นอกจากจะสอนให้ความรู้ที่เกี่ยวกับเนื้อหาวิชาแล้ว ยังควรสอนให้นักเรียนมีความรู้สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อให้เกิดความแตกฉานในวิชาคณิตศาสตร์ โดยที่อาจารย์ผู้สอนควรให้ความสนใจกับเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นทางสื่อมวลชน ทางองค์การต่าง ๆ ให้มากขึ้น
     
  2. อาจารย์ผู้สอนควรหาโจทย์ที่นำไปประยุกต์ใช้ในสาขาต่าง ๆ ได้ เช่น ทางด้านของ Operation Rescarch เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นประโยชน์ของการนำไปใช้และควรให้ผู้เรียนมีโอกาศศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
     
  3. อาจารย์ผู้สอนควรให้ความสำคัญอุปกรณ์หรือเครื่องมือบางชนิด ซึ่งสามารถทำให้การเรียนการสอนเป็นไปอย่างน่าสนใจและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องคิดเลข เป็นต้น เพราะถ้าผู้เรียนเข้าใจโจทย์ เข้าใจเนื้อหาวิชาแล้วก็จะช่วยประหยัดเวลาในการแก้ปัญหานั้นได้
     
ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ดังนี้
  1. การเรียนการสอนคณิตศาสคร์ ควรเน้นในด้านการวิเคราะห์และการสังเคราะห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสังเคราะห์เพราะโดยทั่วไปนักเรียนไทยมักจะมีความสารถสูงในด้านการวิเคราะห์ แต่มีความสามารถต่ำในการสังเคราะห์
     
  2. คณิตศาสตร์เป็นวิขาที่ค่อนข้างเป็นนามธรรม แต่นำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างกว้างขวางมากถ้าสามารถแปลงปัญหาจริงให้เป็นรูปแบบจำลองได้ การจัดการเรียนการสอนควรจะทำให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงระหว่างปัญหาตัวจริง แบบจำลองและการวิเคราะห์ทำคำตอบ และสามารถมองในทางกลับกันคือเมื่อมีคำตอบการวิเคราะห์ แบบจำลอง แล้วนำไปสู่ปัญหาจริง ซึงถ้าครบกระบวนการนี้แล้ส จะทำให้การเรียนการสอนไม่น่าเบื่อและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างจริงจัง
     
  3. อาจารย์ผู้สอนควรหาวิธีการที่จะทำให้นักเรียนได้เครียมพร้อม เครียมความคิดศึกษามาก่อนล่วงหน้า เพื่อในชั่วโมงเรียนจะได้ซักถามข้อสงสัย เนื้อหาที่ไม่เข้าใจ ซึ่งจะทำให้นักเรียบนได้รับความรู้เต็มที่
     
ดร.ภัทรกุล จริยวิทยานนท์ ได้สรุป ดังนี้
คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นพื้นฐานในการศึกษาวิชาต่าง ๆ หลายสาขา เป็นวิชาที่ช่วยทำให้ผู้ที่ศึกษามีความคิดอย่างเป็นระบบ เป็นเหตุเป็นผลในด้านของการจัดการเรียนการสอนไม่ควรเน้นให้มีการเรียนการสอนเฉพราะแต่ในเนื้อหาวิชาเพียงอย่างเดียว ควรฝึกให้นักเรียนรู้จักคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์ และนำไปประยุกต์ใช้ได้โดยอาจารย์ผู้สอนควรที่จะศึกษาและสนใจเกี่ยวกับความรู้ต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ
อ้างอืง http://web.ku.ac.th/schoolnet/snet2/paper/math_develop.htm                  5/9/56

ประวัติและวิวัฒนาการของระบบจำนวน


หากกล่าวถึงคณิตศาสตร์ ทุกคนคงคิดว่าเป็น "ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องตัวเลขซึ่งอันที่จริงแล้วคำจำกัดความนี้เป็นเพียงคำจำกัดความดั่งเดิมของคณิตศาสตร์เท่านั้น ปัจจุบันคณิตศาสตร์ได้ถูกพัฒนาจนไม่สามารถใช้คำจำกัดความดังกล่าวได้อีกต่อไป ซึ่งหากผู้ที่สนใจอยากรู้ว่าคณิตศาสตร์มีประวัติความเป็นมาอย่างไร มีอะไรมากไปกว่าตัวเลข ก็คงบอกได้แต่เพียงว่า ต้องติดตามกันต่อไป อย่างไรก็ตาม คำจำกัดความนี้สามารถชี้ให้เห็นถึงรากฐาน และที่มาของคณิตศาสตร์ได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือ ตัวเลข นั่นเอง
           คณิตศาสตร์เริ่มจากเป็นเกร็ดความรู้ที่มนุษย์นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตในสมัยสี่พันปีก่อนค่อยๆ มีกฎเกณฑ์ทวีเพิ่มพูนขึ้นตลอดมา คณิตศาสตร์เปรียบเหมือนต้นไม้ นับวันจะผลิดอกออกผลนำประโยชน์มาให้มนุษยชาติ มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยสนใจวิชาคณิตศาสตร์ การให้ความรู้ทางคณิตศาสตร์แก่เยาวชนของชาติ  จึงมีความสำคัญอย่างมาก
           ระบบจำนวนจึงเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มนุษย์ต้องการใช้ในการนับจำนวน เพื่อจะได้ทราบปริมาณ และเปรียบเทียบค่า หรือใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้มากมายมหาศาล
           ความเป็นอยู่ของผู้คนเกี่ยวข้องกับการทำการเกษตร การเพาะปลูก เมื่อดำเนินการตั้งถิ่นที่อยู่อาศัย ก็ต้องมีการคำนวณพื้นที่ มีการเรียนรู้เรื่องเวลาและฤดูกาล เมื่อเพาะปลูกได้ก็ต้องรับรู้ปริมาณผลผลิตที่ได้รับ จึงมีการตวงข้าวสาลี ข้าวบาเลย์ และเป็นที่มาของมาตราต่าง ๆ ที่ใช้  ชีวิตความเป็นอยู่ของชนทุกชาติจะคุ้นเคยกับหน่วยปริมาณ และมาตราวัดที่แตกต่างกันออกไป
  ชาวไทยคุ้นเคยกับมาตราวัดระยะทางแบบ คืบ ศอก วา เส้น มาก่อน ทำให้หน่วยวัดพื้นที่เป็นไร่  เป็นงาน อย่างไรก็ดีหน่วยวัดปริมาตรของไทยที่คุ้นเคยเดิมคือเป็นถัง เกวียน หรือแม้แต่การแบ่งเวลาก็มีการแบ่งเป็นโมง เป็นยาม
  ในแต่ละชาติ แต่ละภาษาจึงมีมาตรฐานปริมาณของตนเอง มีหน่วยเงินตรา หรือหน่วยใช้ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน แต่เมื่อมีการคบค้าสมาคมกันระหว่างประเทศ มีการค้าขายแลกเปลี่ยน ทำให้การดำเนินชีวิตที่ต้องมีมาตรฐานกลาง หรือหน่วยวัดกลางและเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก
           แน่นอนทีเดียวที่แต่ละประเทศย่อมมีสัญลักษณ์แทนตัวเลขที่แตกต่างกันไป จึงขอเริ่มต้นประวัติศาสตร์ของคณิตศาสตร์ด้วยตัวเลขที่แต่ละอารยะธรรมคิดค้นขึ้นแต่ละยุคสมัย

ความคิดทางคณิตศาสตร์ยุคตอนต้น
สมัยอียิปต์โบราณ (Civilization of Ancient Egypt)
           อียิปต์โบราณ หรือ ไอยคุปต์ เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นประมาณ 3,150 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมเรื่อยมากว่า 3,000 ปี ประวัติของอียิปต์โบราณปรากฏขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หรือที่รู้จักกันว่า "ราชอาณาจักร" มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์โบราณเป็นราชอาณาจักร ส่วนมากแบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง จนกระทั่งราชอาณาจักรสุดท้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า "ราชอาณาจักรใหม่" อารยธรรมอียิปต์อยู่ในช่วงที่มีการพัฒนาที่น้อยมาก และส่วนมากลดลง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันที่อียิปต์พ่ายแพ้ต่อการทำสงครามจากอำนาจของชาติอื่น จนกระทั่งเมื่อ 31 ปีก่อนคริสต์ศักราชก็เป็นการสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อจักรวรรดิโรมันสามารถเอาชนะอียิปต์ และจัดอียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิโรมัน
           อารยธรรมอียิปต์พัฒนาการมาจากสภาพของลุ่มแม่น้ำไนล์ การควบคุมระบบชลประทาน, การควบคุมการผลิตพืชผลทางการเกษตร พร้อมกับพัฒนาอารยธรรมทางสังคม และวัฒนธรรม พื้นที่ของอียิปต์นั้นล้อมรอบด้วยทะเลทรายเสมือนปราการป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก นอกจากนี้ยังมีการทำเหมืองแร่ และอียิปต์ยังเป็นชนชาติแรกๆที่มีการพัฒนาการด้วยการเขียน ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ ,การบริหารอียิปต์เน้นไปทางสิ่งปลูกสร้าง และการเกษตรกรรม พร้อมกันนั้นก็มีการพัฒนาการทางทหารของอียิปต์ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักร โดยประชาชนจะให้ความเคารพกษัตริย์หรือฟาโรห์เสมือนหนึ่งเทพเจ้า ทำให้การบริหารราชการบ้านเมืองและการควบคุมอำนาจนั้นทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
           ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้เป็นเพียงแต่นักเกษตรกรรม และนักสร้างสรรค์อารยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นนักคิดนักปรัชญา ได้มาซึ่งความรู้ในศาสตร์ต่างๆมากมายตลอดการพัฒนาอารยธรรมกว่า 3,000 ปี ทั้งในด้านคณิตศาสตร์เทคนิคการสร้างพีระมิดวัดโอเบลิสก์ตัวอักษร และเทคนิคโลยีด้านกระจก                    นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาประสิทธิภาพทางด้านการแพทย์, ระบบชลประทานและการเกษตรกรรม อียิปต์ทิ้งมรดกสุดท้ายแก่อนุชนรุ่นหลังไว้คือศิลปะ และสถาปัตยกรรม ซึ่งถูกคัดลอกนำไปใช้ทั่วโลก อนุสรณ์สถานที่ต่างๆในอียิปต์ต่างดึงดูดนักท่องเที่ยว นักประพันธ์กว่าหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุใหม่ๆในอียิปต์มากมายซึ่งกำลังตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมา เพื่อเป็นหลักฐานให้แก่อารยธรรมอียิปต์ และเป็นหลักฐานแก่อารยธรรมของโลกต่อไป
          ในสมัยโบราณ อียิปต์เป็นชาติที่เจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปวิทยาการก่อนชาติอื่นๆ ชาวอียิปต์รู้จักบันทึกจำนวนโดยใช้สัญลักษณ์ต่างๆ โดยการเขียนสัญลักษณ์แทนจำนวนของชาวอียิปต์ ใช้วิธีรวมค่าของสัญลักษณ์เหล่านั้น จะไม่คำนึงถึงตำแหน่งของสัญลักษณ์ ดังนั้น จำนวนเดียวกันอาจจะเขียนสัญลักษณ์สลับที่เป็นแบบต่างๆ ได้
 อียิปต์โบราณ มีอาณาเขตครอบคลุมที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์จากเมืองแอสวาน (Aswan) จนจรดชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรนียนของประเทศอียิปต์  อียิปต์โบราณเป็นอารยธรรมหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นอารยธรรมแรกที่ส่งเสริมวิทยาศาสตร์ ชาวอียิปต์โบราณให้ความสำคัญอย่างมากกับการจดบันทึก และการสื่อสารจึงได้ประดิษฐ์กระดาษปาปิรุส (papyrus) ขึ้น ที่มีอายุ 3,850 ปี กระดาษปาปิรุสทำมาจากต้นกกที่เติบโตอย่างแพร่หลายในแถบลุ่มแม่น้ำไนล์  
  ในพีระมิดได้แสดงให้เรา ณ วันนี้เห็นว่า ชาวอียิปต์รู้จักเลขเศษส่วน รู้วิธีแบ่งขนมปังในอัตราส่วนต่างๆ รู้วิธีหาพื้นที่ของสามเหลี่ยม รู้วิธีหาปริมาตรของทรงกระบอก เมื่อมีการกำหนดความยาวเส้นผ่าศูนย์กลาง และส่วนสูงของทรงกระบอกมาให้ นอกจากนี้นักคณิตศาสตร์อียิปต์ยังได้พบว่าอัตราส่วนระหว่างความยาวของเส้นรอบวง/เส้นผ่าศูนย์กลางของวงกลมใดๆ มีค่า 256/81 หรือ 3.16
               ชาวอียิปต์โบราณสื่อความหมายด้วยอักษรภาพที่เรียกว่า ไฮโรกลิฟ (Hieroglyph) ซึ่งรวมไปถึงตัวเลขด้วย อักษรภาพแทนตัวเลขต่างๆ มีดังนี้ 
ยุคบาบิโลน (Babylon)

 บาบิโลนเป็นนครของชาวเซไมท์กลุ่มหนึ่ง อยู่ทางภาคใต้ของบริเวณเมโสโปเตเมีย เมื่อประมาณ 2,350 ก่อน คริสต์ศักราช ซึ่งพัฒนาต่อๆมาเป็นนครใหญ่และสวยงามมากแห่งหนึ่งของโลก มีกำแพงเมืองล้อมรอบตัวเมืองเป็นระยะทางเกือบ กิโลเมตร มีหอคอยกั้นระหว่างกำแพงเป็นระยะๆ มีประตูเมือง แห่ง เข้าสู่ภายในเมือง ตัวอาคารสร้างด้วยอิฐ ตรงประตูเมืองวาดภาพเป็นรูปสัตว์นับร้อยๆ ภาพ ตกแต่งสวยงาม มีถนนบนกำแพงเมืองกว้างพอให้ทหารเดินไปรอบๆเมือง เพื่อป้องกันข้าศึก
            ชาวกรีกได้บันทึกไว้ว่ากำแพงเมืองบาบิโลนสูง 700 ฟุต มีความหนามาก จนส่วนบนของกำแพงกว้างพอให้รถศึกเทียมด้วยม้า4ตัว วิ่งไปบนส่วนของกำแพงได้ แต่ข้อมูลนี้ถูกโต้แย้งในเรื่องของความสูงว่าจริงๆ แล้วอาจบันทึกผิด น่าจะสูงแค่ 70 เมตร 
 อารยธรรมยิ่งใหญ่ของบาบิโลนที่ทิ้งไว้ให้แก่มนุษยชาติ สำคัญๆได้แก่ กฏหมายของบาลิโลนที่มีความยุติธรรมและเขียนจารึกไว้บนแผ่นดินเหนียวซึ่งยังคงเหลือมาถึงทุกวันนี้ โดยกษัตริย์ฮัมมุรัมบี ตรากฏหมายเรื่องต่างๆ เช่น การสมรส โจรกรรม หนี้สิน การจราจรทางน้ำ ค่าจ้างแรงงาน การรักษาคลอง กฏหมายกำหนดราคา ฯลฯ เหล่านี้เป็นกฏหมายที่ยุติธรรมแต่บทลงโทษโหดเ้ยม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกฏหมายที่ดี จนกระทั่งโรมันนำมาใช้ทั่วจักรวรรดิโรมัน และประเทศยุโรปยังเอากฎหมายโรมันมาใช้อยู่ในปัจจุบัน
           บาบิโลนและอัสซีเรีย จักรวรรดิของชาวเซไมท์ในเมโสโปเตเมียดินแดนแห่งลุ่มน้ำไทกรีส ยูเฟรตีส ได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และทิ้งอารยธรรมไว้แก่โลกก่อนที่จะถูกมหาอำนาจใหม่ในตะวันออกกลาง คือ เปอร์เซีย ได้ทำลายทั้งอัสซีเรีย(ปี 612 ก่อน ค.ศ.) และบาบิโลน (ปี 539 ก่อน ค.ศ.)
 ชาวบาบิโลน (ประเทศอิรักในปัจจุบัน) และชาวอียิปต์รู้จักเขียนสัญลักษณ์แทนจำนวน รู้จักเลข เศษส่วน รู้จักใช้ลูกคิดบวก ลบ คูณ หารตัวเลข ความรู้เกี่ยวกับจำนวนได้นำมาใช้ในการติดต่อค้าขาย การเก็บภาษี การรู้จักทำปฏิทิน และการรู้จักใช้มาตรฐานเกี่ยวกับเวลา เช่น 1 ปีมี 365 วัน 1 วันมี 24 ชั่วโมง 1 ชั่วโมงมี 60 นาที  1 นาทีมี 60 วินาที ความรู้ทางเรขาคณิต เช่น การวัดระยะทาง การวัดมุม นำมาใช้ในการก่อสร้างและการรังวัดที่ดิน เขาสนใจคณิตศาสตร์ในด้านนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้เท่านั้น
   จากหลักฐานทางคณิตศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของอารยธรรมมนุษย์ในยุคบาบิโลน ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณห้าพันปีที่แล้ว ชาวบาบิโลนมีอารยธรรมที่เก่าแก่อยู่แถบลุ่มแม่น้ำยูเฟรติส ได้ใช้ตัวเลขการนับด้วยฐานหกสิบ และแบ่งหน่วยเวลาเป็นมาตรา 60 ดังที่เราใช้กันมาในเรื่องเวลา และใช้แบ่งวงกลมเป็นองศา ฟิลิปดา เป็นต้น

           ตัวเลขแทนเวลาจะเขียนได้เป็น 5h 25' 30" มีความหมายว่า 5ชั่วโมง 25 นาที 30 วินาที หรือเขียนในฐาน 60 เป็น 5 25/60 30/3600 ซึ่งถ้าเขียนเป็นตัวเลขฐานสิบจะได้ 5 4/10  2/100  5/1000
           ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเกี่ยวข้องกับการนับและปริมาณ หน่วยนับจึงมีความสำคัญ เพราะการสื่อสารเพื่อจะบอกปริมาณระหว่างกันจำเป็นต้องมีหน่วยนับ ลองจินตนาการดูว่ามนุษย์ชาวบาบิโลเนียยังไม่รู้จักกับตัวเลขทศนิยม รู้จักแต่จำนวนเต็ม และมีฐานหกสิบ หลักฐานที่สำคัญที่ยืนยันว่าชาวบาบิโลเนียใช้เลขฐานหกสิบ ก็คือมีการค้นพบตารางคำนวณที่ลุ่มน้ำยูเฟรติสในปี ค.ศ. 1854 ตารางที่พบเป็นตารางตัวเลขยกกำลังสอง เช่น 82 = 1  4 ซึ่งมีความหมายเป็น 82 = 1  4 = 1 x 60 + 4 = 64 หรือตัวอย่าง 592 = 58  1 (=58 x 60 + 1 = 3481)
  สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ ชาวบาบิโลเนียรู้จักวิธีการคูณและหารตัวเลขแล้ว แต่การคูณและหารตัวเลขยังมีลักษณะที่ใช้ตารางยกกำลังสองของตัวเลขที่ทำขึ้น โดยสมมุติว่า ต้องการคูณตัวเลข aและ b                                                         
            ชาวบาบิโลเนียใช้หลักการของการยกกำลังสองของตัวเลขที่ได้จากตาราง
  โดยใช้หลักการ 
a.b = ((a+b)2-a2-b2)/2
จากหลักการนี้เขียนได้ -->
a.b = (a+b)2/4 - (a-b)2/4




            เช่น ถ้าต้องการผลลัพธ์ของ
      
5.3   จะได้    (64/4)  -  4/4  =  15
            ลองจินตนาการดูว่าชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบาบิโลเนียที่เกี่ยวข้องกับเลขฐานหกสิบ แม้แต่หน่วยเงินก็เป็น 60 และแบ่งย่อยเป็นหกสิบ แต่หากแบ่งส่วนย่อยบางส่วนลงไป เช่น 1/13 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 7/91ซึ่งถ้าคิดโดยประมาณก็จะเป็น 7/90
            ข้อสังเกต             ตัวเลขบาบิโลน เป็นตัวเลขในระบบฐานหกสิบ เมื่อนำสัญลักษณ์ตัวเดิมไปวางไว้ในตำแหน่งหรือหลักที่ต่างกัน จะได้ค่าต่างกัน เนื่องจากชาวบ้านบาบิโลนยังไม่รู้จักใช้สัญลักษณ์ศูนย์ จึงมีข้อยุ่งยากของการใช้ตัวเลขในระบบนี้ คือถ้าจำนวนในหลักใดขาดหายไป จะทำให้เกิดความสับสนในการอ่านและการเขียน 
               
อ้างอิงhttp://www.dek-d.com/board/view/2280798/ (5/9/56)